สารกำหนดปริมาณและร้อยละของผลไม้ของสารผลิตภัณฑ์
สารกำหนดปริมาณ (Limiting
Reagent)
สารที่เข้าทำปฏิกิริยามีปริมาณไม่พอดีกัน
ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจะสิ้นสุดเมื่อสารใดสารหนึ่งหมด
สาร
ที่หมดก่อนจะเป็นตัวกำหนดปริมาณของผลิตภัณฑ์ของสารผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นเรียกว่า
สารกำหนดปริมาณ (Limiting Reagent)
สารกำหนดปริมาณในการเกิดปฏิกิริยาเป็นการคำนวณสารจากสมการของปฏิกิริยาที่โจทย์บอกข้อมูลเกี่ยวกับสารตั้งต้นมาให้มากกว่าหนึ่งชนิด
ลักษณะโจทย์มี 2 แบบ คือ
1.
โจทย์บอกข้อมูลของสารตั้งต้นมาให้มากกว่าหนึ่งชนิด
แต่ไม่บอกข้อมูลเกี่ยวกับสารผลิตภัณฑ์
ในการคำนวณต้องพิจารณา
ว่าสารใดถูกใช้ทำปฏิกิริยาหมด
แล้วจึงใช้สารนั้นเป็นหลักในการคำนวณสิ่งที่ต้องการจากสมการได้
2.
โจทย์บอกข้อมูลของสารตั้งต้นมาให้มากกว่าหนึ่งชนิด
และบอกข้อมูลของสารผลิตภัณฑ์ชนิด
ใดชนิดหนึ่งมาให้ด้วย
ในการคำนวณให้ใช้ข้อมูลจากสารผลิตภัณฑ์เป็นเกณฑ์ในการเทียบหาสิ่งที่ต้องการจากสมการเคมี
ร้อยละของผลได้ของสารผลิตภัณฑ์
ในการคำนวณหาปริมาณของผลิตภัณฑ์จากสมการเคมีนั้น
ค่าที่ได้เรียกว่า ผลได้ตามทฤษฎี (Theoretical yield)
แต่ในทางปฏิบัติจะได้ผลิตภัณฑ์น้อยกว่าตามทฤษฎี
แต่จะได้มากหรือน้อยแค่ไหน
ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการและสารเคมีที่ใช้
เรียกผลที่ได้ว่านี้ ผลได้จริง (Actual yield)
สำหรับการรายงานผล การทดลองนั้น
จะเปรียบเทียบค่าที่ได้ตามทฤษฎีในรูปร้อยละ
ซึ่งจะได้ความสัมพันธ์ดังนี้
การหาสูตรโมเลกุลของก๊าชและการหาร้อยละโดยมวลของธาตุจากสูตรเคมี
การหาสูตรโมเลกุลของก๊าซ
มีหลักการดังนี้
1.
สารทุกชนิดที่เกี่ยวข้องในปฏิกิริยาเป็นก๊าซหมด
และสารที่จะหาสูตรโมเลกุลจะต้องเป็นก๊าซหรือไอเท่านั้น
2.
สมมติสูตรโมเลกุลของก๊าซที่จะหาสูตรโดยทราบว่าประกอบด้วยธาตุใดบ้าง
3. ต้องทราบปริมาตรของก๊าซต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกันในปฏิกิริยา
และปริมาตรของก๊าซต้องวัดที่อุณหภูมิและความดันเดียวกัน
4. หาอัตราส่วนโดยปริมาตรก๊าซต่าง ๆ
เป็นอย่างต่ำ
5.
เปลี่ยนอัตราส่วนโดยปริมาตรของก๊าซเป็นอัตราส่วนโดยโมล
โดยใช้กฎอาโวกาโดร
6. เขียนสมการของปฏิกิริยาเคมีตามโจทย์บอก
แล้วเข้าสมการพีชคณิตของจำนวนอะตอมทั้งหมด
ทางซ้าย และทางขวาของแต่ละธาตุให้เท่ากัน
จะได้สมการพีชคณิตหลายสมการที่มีตัวแปรหลายตัว
จากนั้นก็คำนวณหาสูตรโมเลกุลของก๊าซได้
มวลของสารในปฏิกริยาเคมี
การเปลี่ยนแปลงของสารในปฏิกิริยาใดๆ
ต้องมีการกำหนดขอบเขตการศึกษา
ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 2 ส่วนคือ
ส่วนที่อยู่ภายในขอบเขตของการศึกษาซึ่งรวมทั้งก่อนการเปลี่ยนแปลงและหลังการเปลี่ยนแปลงเรียกว่า
ระบบ
กับส่วนที่อยู่นอกขอบเขตที่ศึกษา
เช่นภาชนะ อุปกรณ์ หรือเครื่องมือวัดต่างๆเรียกว่า สิ่งแวดล้อม เช่น
การทำน้ำให้เป็นน้ำแข็ง
ระบบก่อนการเปลี่ยนแปลงคือน้ำ
และระบบหลังการเปลี่ยนแปลงคือน้ำแข็ง
ส่วนสิ่งแวดล้อมก็คือภาชนะ ระบบมีอยู่ 2
ระบบดังนี้
1. ระบบปิด คือ
ระบบที่ไม่มีการถ่ายเทมวลของสารระหว่างระบบกับสิ่งแวดล้อม
2. ระบบเปิด คือ
ระบบที่มีการถ่ายเทมวลของสารระหว่างระบบกับสิ่งแวดล้อม
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสารจำเป็นต้องระบุสมบัติต่างๆ
ของระบบ เช่น มวล อุณหภูมิ ปริมาตร ความดัน
ถ้าตรวจสอบได้ว่าสมบัติใดของระบบมีการเปลี่ยนแปลงก็ถือได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในระบบ
สมบัติของสารและปัจจัยที่มีผลต่อสมบัติของระบบเรียกว่า
ภาวะของระบบ
ในปี พ.ศ. 2317 อองตวน-โลรอง ลาวัวซิเอ
ได้ทดลองเผาสารในหลอดที่ปิดสนิทพบว่า
มวลรวมของสารก่อนเกิดปฏิกิริยา
เท่ากับมวลรวมของสารหลังทำปฏิกิริยา
จึงตั้งเป็นกฎเรียกว่า กฎทรงมวล
โจเชฟ เพราสต์
ได้ศึกษาการเตรียมสารประกอบบางชนิด
พบว่าสารประกอบชนิดหนึ่งที่เตรียมด้วยวิธีการที่แตกต่างกันมีอัตราส่วนโดยมวลของธาตุที่รวมกันเป็นสารประกอบหนึ่ง
ๆ จะมีค่าคงที่
จึงตั้งเป็นกฎเรียกว่า กฎสัดส่วนคงที่
ตัวอย่างเช่น สารประกอบคอปเปอร์(II)ซัลไฟด์ ( CuS )
ที่เกิดจากการรวมตัวของทองแดงและกำมะถันจะมีอัตราส่วนโดยมวลเท่ากับ
2:1 เสมอ
การหามวลโมเลกุลของสาร
โมเลกุลของธาตุประกอบด้วยอะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน
เช่น
โมเลกุลของก๊าซออกซิเจนประกอบด้วยธาตุออกซิเจน
2 อะตอม
ส่วนโมเลกุลของสารประกอบที่ประกอบด้วยอะตอมของธาตุต่างชนิดกันเช่น
โมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน 1
อะตอมและธาตุออกซิเจน 2 อะตอม
ในกรณีที่ไม่ทราบชนิดและจำนวนอะตอมของธาตุที่เป็นองค์ประกอบในโมเลกุลของสาร
แต่ทราบมวลเป็นกรัมของสาร 1 โมเลกุล
จะหามวลโมเลกุลของสารได้จากความสัมพันธ์ดังนี้
1.
ใช้การเปรียบเทียบเช่นเดียวกับการหามวลอะตอม
2.
คิดจากผลบวกของอะตอมของธาตุต่าง ๆ
ที่เป็นองค์ประกอบใน 1
โมเลกุลของสารนั้น
มวลโมเลกุล H2O = (2x1) 16 = 18
มวลโมเลกุล CuSO4 * 5H2O = 63.5 + 32 + (4x16) +
(5x18) = 249.5
มวลอะตอม
เนื่อง
จาก
อะตอม
ของ
แต่
ละ
ธาตุ
มี
มวล
น้อย
มาก เช่น อะตอม
ของ
ไฮโดรเจน
มี
มวล 1.66 * 10
-24 กรัม อะตอม
ของ
ออกซิเจน
มี
มวล 2.65 * 10
-23 กรัม ทำ
ให้
ไม่
สามารถ
ชั่ง
มวล
ของ
ธาตุ 1 อะตอม
ได้
โดย
ตรง ดอลตัน
จึง
ได้
พยายาม
หา
มวล
อะตอม
ของ
แต่
ละ
ธาตุ
โดย
ใช้
วิธี
การ
เปรียบ
เทียบ
ว่าอะตอ
มาตุ
ชนิด
หนึ่ง
มี
มวล
เป็น
กี่
ท่า
ของ
อะตอม
ของ
อีก
ธาตุ
หนึ่ง
ที่
กำหนด
ให้
เป็น
มาตร
ฐาน
ดอลตันได้พบว่าไฮโดรเจนเป็นธาตุที่อะตอมมีมวลน้อยที่สุด จึงเสนอให้ใช้ไฮโดรเจนเป็นธาตุมาตรฐานในการเปรียบเทียบเพื่อหามวลอะตอมของธาตุอื่นๆ โดยกำหนดให้ไฮโดรเจน 1 อะตอมมีมวลเป็น 1 หน่วย ด้วยวิธีการเช่นนี้ อะตอมของคาร์บอนมีมวลเป็น 12 เท่าของไฮโดรเจนก็จะมีมวลเป็น 12 หน่วย อะตอมของออกซิเจนมีมวลเป็น 16 เท่าของไฮโดรเจนก็จะมีมวลเป็น 16 หน่วย ตัวเลขที่ได้จากการเปรียบเทียบมวลของธาตุ 1 อะตอมกับมวลของธาตุมาตรฐาน 1 อะตอม เรียกว่า มวลอะตอมของธาตุ
ต่อมานักวิทยาศาสตร์จึงได้ตกลงใช้คาร์บอน-12 ซึ่งเป็นไอโซโทปหนึ่งของคาร์บอนเป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบมวล เนื่องจากธาตุคาร์บอนสามารถทำปฏิกิริยากับธาตุอื่นๆ เกิดเป็นสารประกอบได้เป็นจำนวนมาก และคาร์บอน-12 เป็นไอโซโทปที่มีปริมาณสูงกว่าไอโซโทปอื่นๆ ของคาร์บอนอีกด้วย โดยกำหนดให้คาร์บอน-12 จำนวน 1 อะตอมมีมวล 12 หน่วยมวลอะตอม ดังนั้น 1 หน่วยมวลอะตอมจึงมีค่าเท่ากับ 1/12 มวลของคาร์บอน-12 จำนวน 1 อะตอมหรือเท่ากับ 1.66 * 10-24 กรัม ค่าของมวลอะตอมของธาตุจึงเขียนเป็นความสัมพันธ์ไดดังนี้
ธาตุส่วนใหญ่ในธรรมชาติมีหลายไอโซโทป และแต่ละไอโซโทปมีปริมาณมากน้อยต่างกัน มวลอะตอมของคาร์บอนที่คำนวณได้นี้เป็นค่ามวลอะตอมที่เฉลี่ยของคาร์บอน ซึ่งสอดคล้องกับค่ามวลอะตอมของธาตุที่ปรากฏอยู่ในธรรมชาติ ดังนั้นค่ามวลอะตอมของธาตุใดๆ ในตารางธาตุจึงเป็นค่ามวลอะตอมเฉลี่ยซึ่งขึ้นอยู่กับค่ามวลอะตอมและปริมาณของแต่ละไอโซโทปที่พบอยู่ในธรรมชาติ ปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์จึงหามวลอะตอมและปริมาณของไอโซโทปของแต่ละธาตุ โดยใช้เครื่องมือเรียกว่า แมสสเปกโตรมิเตอร์ ทำให้ได้ค่าที่แน่นอนและมีความถูกต้องสูง
ตัวอย่างเช่น การคำนวณหามวลของ Li 3.01 x 1024 อะตอม จากข้อมูลต่อไปนี้
ไอโซโทป | %ที่มีในธรรมชาติ | มวลอะตอม
|
| 7.00 | 6.0200
|
| 93.00 | 7.0100 |